วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บัตรเงินสด จำเป็นกับชีวิตคุณอย่างไร




ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับบัตรเงินสดกันก่อนดีกว่า บัตรเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์มากอย่างนึง มีลักษณะเดียวกับสินเชื่อ แต่เป็นสินเชื่อแบบพร้อมใช้ ซึ่งได้รับการอนุมัติล่วงหน้า หรือจะเรียกว่า วงเงินสดสำรองก็ได้เพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็น หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน ซึ่งสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้ทันที แต่จะเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่เบิกเงินสดจากบัตรมาใช้

แล้วบัตรเงินสดต่างจากบัตรเครดิตอย่างไร
ทั้งบัตรเงินสดและบัตรเครดิตออกโดยสถาบันการเงิน แต่สิ่งที่ทำให้ 2 เครื่องมือ ทางการเงินนี้แตกต่างกัน คือ ถ้าคุณใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและบริการ คุณจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระหนี้ได้ 45-55 วัน ในขณะที่บัตรเงินสดนั้น เมื่อคุณใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ สถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยกับคุณทันที

มีบัตรเงินสดไว้ ไม่เสียหาย
คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เหตุการณ์ฉุกเฉิน จะเกิดขึ้นกับคุณได้เมื่อไหร่ ถ้าวันดีคืนดีคุณไม่สบายหนัก เช้าโรงพยาบาล แล้วคุณไม่มีเงินสดที่คุณสำรองเอาไว้ ทางเลือกของคุณก็อาจจะจำกัดเหลือเพียง ยืมเงินจากญาติพี่น้อง หรือกู้เงินนอกระบบ ถ้าคุณเลือกการกู้เงินนอกระบบ คุณคงต้องเจอกับดอกเบี้ยมหาโหด อาจจะ 20% ต่อเดือน ซึ่งแพงกว่า และน่ากลัวกว่าการใช้บัตรเงินสด ซึ่งดอกเบี้ย เพียง 20% ต่อปี หรือคิดง่ายๆ ว่า ถูกแพงต่างกันถึง 12 เท่าตัว เลยทีเดียว

บัตรเงินสดต้องใช้อย่างระมัดระวัง
การใช้บัตรเงินสดทําบัตรกดเงินสดนั้น คุณต้องใช้อย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยกับคุณทันทีที่คุณใช้ชำระค่าสินค้าและบริการหรือกดเงินสดจากวงเงินของบัตรนั้น ดอกเบี้ยที่สถาบันเงินจะคิดกับคุณนั้น สูงถึง 20% ต่อปี และยังไม่รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่สถาบันการเงินเรียกเก็บจากคุณ เช่น ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสด ครั้งละ 3% เป็นต้น

3 เทคนิคการใช้ บัตรเงินสดอย่างระมัดระวัง
1.  ใช้บัตรเงินสดเมื่อมีโปรโมชั่น ผ่อน 0%

คุณไม่รู้หรอกว่าต้องจ่ายไปแพงขนาดไหน ที่จะทำให้ออกมาถูกขนาดนี้” เป็นคำพูดของ Steven Tyler นักร้องนำวง Aerosmith ชาวอเมริกัน

บัตรเงินสดมักจะมีรายการส่งเสริมการขายกับร้านค้าต่างๆ เช่น ซื้อสินค้าและบริการ ด้วยการผ่อนซื้อสินค้า ดอกเบี้ย 0% สูงสุด 10 เดือน ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณ เพราะร้านค้าจะต้องเป็นผู้ชำระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นแทนตัวคุณ ถ้ามองในแง่ของผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับนั้น สำหรับสินค้าบางชิ้น ถ้าคุณซื้อด้วยเงินสดต้องรอเก็บเงินเป็นปีกว่าจะซื้อได้ แต่ถ้าคุณทําบัตรกดเงินสดชำระผ่านบัตรเงินสดคุณสามารถผ่อนซื้อสินค้าดอกเบี้ย 0% นอกจากนี้คุณจะไม่เสียโอกาสซื้อสินค้า คุณยังบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากดอกเบี้ยซักบาทเดียว

2.  ใช้บัตรเงินสดเมื่อฉุกเฉินเท่านั้น

“ในยามฉุกเฉิน ทำในสิ่งที่เพื่อนคุณบอกเหอะ” เป็นคำพูดของ Monique Coleman นักธุรกิจ นักร้องและนักแสดง ชาวอเมริกัน

ในยามฉุกเฉิน เช่น ตัวคุณ ญาติพี่น้อง คนที่เรารักเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล แล้วคุณไม่มีเงินสดสำรองที่เพียงพอจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล เวลานั้นบัตรเงินสดจะเป็นเพื่อแท้ของคุณทีเดียว เพราะถ้าคุณไม่มีบัตรเงินสด ทางเลือกของคุณอาจจะเหลือแค่กู้เงินนอกระบบ ดอกเบี้ยเดือนละ 20% และอาจจะเจอเจ้าหนี้ทวงหนี้โหด ทำลายข้าวของบ้านคุณก็เป็นได้ สำหรับในเวลาปกติ คุณก็ไม่ควรจะนำบัตรเงินสดมาใช้พร่ำเพรือ เพื่อรักษาวินัยทางการเงินของตัวคุณเองอีกด้วย

3.  จ่ายชำระให้ตรงเวลา

“มันไม่ต่างอะไรกับการโกง ถ้าคุณยืมตังคนอื่นไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะจ่ายยังไง” เป็นคำพูดของ Publilius Syrus นักปราชญ์ชาวซีเรีย ที่มีชีวิตอยู่ในยุครุ่งเรือง จักรวรรดิโรมัน

เมื่อคุณเลือกที่จะใช้บัตรเงินสดทําบัตรกดเงินสดแล้วคุณต้องมีความรับผิดชอบกับการใช้มันด้วย ถ้าคุณชำระหนี้ตรงเวลาคุณก็จะไม่โดนค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่คุณไม่ควรจะเสีย เช่น ค่าตามหนี้และค่าปรับที่คุณจ่ายช้า มันจะทำให้ฐานะทางการเงินและวินัยทางการเงินย่ำแย่ไปกันใหญ่ แล้วเวลาสถาบันการเงินทวงหนี้ที่เกิดจากบัตรเงินสดมันก็ดูวุ่นวายกับชีวิตคุณมาก โทรจิกคุณทั้งเช้า ทั้งเย็น เพื่อให้คุณจ่ายให้ได้นอกจากจะสร้างความรำคาญให้คุณแล้ว ยังทำให้คุณเสียงาน เสียการไม่เป็นอันทำมาหากินอีกด้วย


วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บัตรเครดิตคืออะไร? เลือกใช้บัตรเครดิตอะไรดี?



หลายคนเคยสงสัย ว่าทำไมเราต้องใช้บัตรเครดิต ทำไมต้องสมัครบัตรเครดิต และบัตรเครดิตคืออะไร มีไว้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมเราไปช้อปปิ้งที่ไหน ก็มีแต่คนรูดบัตรเครดิต เดินตามห้างสรรพสินค้า และร้านค้าทั่วไป ก็จะมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตเยอะแยะมากมาย บัตรเครดิตกำลังบูมล้นอยู่ในตลาด ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะบูม มันบูมมานานแล้ว หากแต่ว่า กำลังจะยิ่งบูมมากขึ้น ด้วยความที่ใช้ง่าย จ่ายคล่อง และมีคู่แข่งอยู่แทบทุกธนาคาร ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า บัตรเครดิตคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง และทําบัตรเครดิตมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

บัตรเครดิตคืออะไร ความแตกต่าง ระหว่างบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
บัตรเครดิต คือ บัตรที่เราได้รับวงเงิน (Credit) อนุมัติจากธนาคาร เหมือนเป็นการยืมเครดิตจากธนาคารในการใช้รูดซื้อสินค้า ภายในวงเงินที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเงินอยู่ในบัญชี หรือฝากไว้อยู่ในบัตรเลยก็ตาม แล้วจึงค่อยชำระเงินในภายหลังตามรอบบัญชีแต่ละเดือน

บัตรเดบิต คือ บัตรที่เราจะสมัครคู่กับบัญชีออม ทรัพย์ของธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่ บัตรจะผูกกับบัญชีเสมอ หลายคนอาจเข้าใจว่ามันคือบัตรเอทีเอ็ม ที่สามารถกดเงินสด โอนเงิน หรือชำระเงินได้ แต่ที่จริงแล้ว บัตรเดบิตทำได้มากกว่าบัตรเอทีเอ็ม มันสามารถรูดซื้อสินค้าได้ด้วย ให้สังเกตบัตร จะมีสัญลักษณ์ วีซ่าอิเลคตรอน Visa Electron อยู่บนหน้าบัตร

หากเปรียบเทียบบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ต่างกันตรงที่ การใช้บัตรเดบิตนั้น เราจะต้องมีเงินในบัญชีก่อนเท่านั้น เนื่องจากบัตรจะหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ที่ผูกไว้ทันที ไม่เช่นนั้น จะรูดซื้อสินค้าไม่ผ่าน ส่วนความเหมือนของทั้งคู่ คือ สามารถนำมากดเงินสดได้เหมือนกัน แต่อย่าเรียกว่าเหมือนเลย เดี๋ยวจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด หากกดเงินสดจากบัตรเครดิต (Cash Advance) จะมีค่าธรรมเนียม 3% ขั้นต่ำ 300-500บาท แล้วแต่ธนาคาร และยอดเงินที่กด จะถูกนำไปคิดใน statement ว่าเรายืมธนาคารมาใช้เป็นเงินสดเท่าไหร่ และยังถูกคิดดอกเบี้ยสำหรับยอดเงินที่กดมาใช้อีก หากเราไม่ได้ชำระเงินตรงตามกำหนด ซึ่งไม่นิยมใช้กดกัน เพราะว่าดอกเบี้ยสูงถึงประมาณ 25-28% ต่อปี ในขณะที่บัตรเดบิตให้ใช้กดเงินสดที่มีอยู่แล้วในบัญชีออกมาใช้โดยไม่เสียค่า ธรรมเนียมใดๆ หากกดที่ตู้ของธนาคารเดียวกัน

ในการใช้บัตรเครดิตนั้น หากเราชำระบัตรเครดิตตรงตามกำหนดทุกงวด การใช้บัตรเครดิตก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา แต่ด้วยความสะดวกในการรูดซื้อสินค้าอาจส่งผลให้เราใช้จ่ายเกินตัว และไม่สามารถชำระ "หนี้" ได้ทัน ก็จำต้องจ่ายดอกเบี้ยตามข้อเสนอของธนาคาร โดยชำระขั้นต่ำเพียง 10% และจ่ายดอกเบี้ยอีกประมาณ 20% ต่อปี นี่คือสาเหตุที่ธนาคารพยายามเชิญชวน (ยัดเยียด) ให้เราใช้บัตรเครดิต บ้างก็ส่งบัตรมาให้ใช้ถึงที่บ้าน เพียงแค่โทรไปเปิดบัตร ก็สามารถใช้งานได้แล้ว

สิทธิประโยชน์ต่างๆ และข้อดีของบัตรเครดิต
1.  มีสิทธิประโยชน์ที่จูงใจผู้ใช้ในหลายหลายรูปแบบ เช่น
    - ได้เงินคืน (Cash Back) เงินเครดิตคืนเข้าบัตรในภายหลัง
    - ได้ส่วนลด (Discount)  ได้ส่วนลดทันที ณ ที่จ่าย
    - สะสมคะแนน (Point Reward) สามารถนำไปแลกของหรือคูปองแลกซื้อสินค้าได้อีก
    - สามารถแบ่งจ่าย (Pay Lite) เช่น ชำระ 0% 3, 6, 10 เดือน ฯลฯ

2.  พกง่าย ขอแค่จำลายเซนต์ได้ก็พอ และไม่ต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก (บัตรเดบิตก็ทำได้ หากคุณมีเงินในบัญชีพอ)

3.  สามารถซื้อสินค้ามาครอบครองได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินในทันที  และมีโอกาสนำเงินจำนวนนั้นๆไปลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไรอย่างอื่นได้

4.  สามารถใช้ชำระค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการอื่นๆได้ หรือจะหักจ่ายตามรอบบิล Smart Billing ได้อีกด้วย (ข้อนี้สะดวกมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปตามจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ฯลฯ) รวมทั้งสามารถใช้ซื้อของออนไลน์ผ่านเพย์สบาย (Paysbuy) หรือ เพย์พอล (Paypal) นั่นเอง

5.  มีไว้เท่ห์ๆ หรืออวดฐานะ จากประเภทบัตร เช่น บัตรโกล์ด บัตรแพลตตินัม บัตรอีลิท ฯลฯ (สำหรับพวกวัตถุนิยม)

ข้อเสียของการใช้บัตรเครดิต
1.  เพิ่มหนี้สินให้ตัวเอง และสร้างความกังวลในการชำระหนี้ในภายหลัง ว่าจะครบกำหนดชำระเมื่อไหร่ ยอดจำนวนเท่าไหร่ เป็นต้น

2.  หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนดหรือไม่ได้ชำระเต็มจำนวน จะมีค่าปรับ + ดอกเบี้ย ให้ต้องชำระเพิ่มอีก

3.  ดอกเบี้ยสูง เป็นภาระหนี้เพิ่ม นอกจากจะต้องชำระหนี้เงินต้นแล้วยังมีดอกเพิ่มให้ปวดหัว

4.  สร้างความเคยตัวในการใช้เงิน เพิ่มความฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน

สำหรับใครที่อยากสมัครบัตรเครดิตก็ควรจะดูกำลังในการใช้จ่ายของตัวเอง เมื่อมีบัตรเครดิตแล้วก็ควรจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อไม่ให้เป็นหนี้และเสียเครดิตได้ เพราะการมีบัตรเครดิตนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่ที่การใช้งานของเราเท่านั้นเอง


วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สมัครบัตรเครดิต ทำบัตรเครดิต เรื่องที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับบัตรเครดิต


รู้หรือไม่ ถ้าคุณมีบัตรเครดิตสองใบ ใบแรกคุณรูดมา 50,000 บาท พอครบดิวชำระ คุณชำระเต็ม 50,000 บาท ส่วนใบที่สองคุณคุณรูดมา 50,000 บาทเช่นกัน แต่ชำระแค่ 30,000 บาท เหลือหนี้ไว้ 20,000 บาท บัตรเครดิตใบแรกที่คุณชำระเต็ม คุณจะไม่มีภาระดอกเบี้ยเลย แต่บัตรเครดิตใบที่สอง ซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องเสียดอกเบี้ยแค่ส่วนที่เป็นหนี้ค้างอยู่ 20,000 บาทเท่านั้น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คุณต้องเสียดอกโดยคิดจากเงินต้นทั้ง 50,000 บาท โดยนับตั้งแต่วันที่คุณใช้เงิน คุณแค่ชำระล่าช้าไปสองสามวันในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนใช้บัตรเครดิตจำนวนมากไม่เคยรู้

ทั้งนี้วิธีการคิดดอกเบี้ยของธนาคารจะคิดเป็นรายวัน หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ธนาคารให้มาถูกหารด้วย 365 วัน (เช่น 20% หารด้วย 365) และจะนำอัตราดอกเบี้ยรายวัน (0.054%) ไปคูณกับยอดคงเหลือของคุณทุกวัน จนกว่าจะจะชำระหนี้ได้ทั้งหมด ดังนั้นก่อนจะหยิบบัตรเครดิตมาใช้ โปรดระวัง!! เพราะการนำเงินในอนาคตมาใช้ อาจทำให้คุณใช้จ่ายเกินตัว และเกิดภาระหนี้สินจนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวได้ ดังนั้นก่อนจะทำบัตรเครดิต สมัครบัตรเครดิต หรือเป็นหนี้เงินกู้ต่างๆ ควรคิดให้รอบคอบ และประเมินตัวเองว่ามีความสามารถที่จะจัดการกับหนี้สินที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือไม่

อย่างไรก็ตามหากเป็นคนหนึ่งที่เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีวิธีการจัดการกับหนี้ทั้งสองง่ายๆ ดังนี้

1.  รวบรวมหนี้ทั้งหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งหมด เพื่อให้รู้จำนวนหนี้ทั้งหมดในปัจจุบันว่าเป็นเท่าไร

2.  แยกประเภทบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจ่าย โดยชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน เช่น จ่ายหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า ก่อนหนี้บัตรเครดิต

3.  ลดปริมาณการใช้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หากปัจจุบันใช้บัตรหลายใบ ให้คงเหลือใช้เพียง 1 ใบ เพื่อรักษาวินัยในการใช้จ่าย

4.  หยุดการก่อหนี้เพิ่ม และตั้งใจชำระหนี้อย่างมีวินัย หาทางเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้มากขึ้น

เมื่อปลดภาระหนี้แล้ว ควรวางแผนการเงินแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง หมั่นทำรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวัน เพื่อให้รู้ว่าเงินที่ใช้หมดไปกับอะไรบ้าง และก่อนที่จะตัดสินใจทำบัตรเครดิต สมัครบัตรเครดิตนั้นเราต้องรู้จักการควบคุมการใช้จ่ายและรู้กำลังในการใช้จ่ายของเรา เพื่อไม่เกิดการเสียเครดิตตามมา


ขอบคุณที่มาจาก: money.sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สมัครบัตรเครดิตนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร แล้วคุณเลือกใช้บัตรเครดิตแบบไหน


สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกสมัครบัตรเครดิต

1. อัตราดอกเบี้ย
2. ค่าธรรมเนียมต่างๆในการใช้บัตร
3. การให้บริการ
4. ค่าบริการรายปี
5. โปรโมชั่นของบัตรแต่ละประเภท 

ประโยชน์ของบัตรเครดิต
ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นเงินสด ท่านสามารถใช้บัตรเครดิตของท่านชำระค่าใช้จ่ายได้ทันที โดยเงินสดของท่านก็ยังคงมีอยู่ ที่สำคัญค่าบริการหรือสินค้าที่ท่านใช้จ่ายนั้น ท่านสามารถชำระคืนได้ในภายหลังโดยมีระยะเวลาประมาณ 45-55 วัน แล้วแต่บัตรของธนาคาร

ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องชำระคืนเต็มจำนวน เพราะท่านสามารถเลือกชำระคืนเพียง 5 % ของค่าใช้จ่ายของท่าน บัตรเครดิตยังให้ท่านเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า สำหรับเหตุการณ์ในทุกสถานการณ์ เช่นค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน และบัตรเครดิตยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตราดอกเบี้ย 0 % การสะสมคะแนนแลกของกำนัลต่างๆ (เห็นไหมว่าบัตรเครดิตน่าสนใจมากแค่ไหน)


ข้อเสียของการมีบัตรเครดิต

ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของท่านเองว่า ท่านสามารถควบคุมการใช้บัตรของท่านได้ถูกวิธีหรือไม่ หากท่านมีการใช้วงเงินเกิน การชำระคืนของท่านการมีบัตรเครดิตก็เป็นดาบ 2 คมเช่นกัน ดังนั้นเมื่อท่านมีบัตรเครดิต ท่านควรมีวิธีการบริหารการใช้จ่ายอย่างถูกวิธีเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารการเงินของตัวท่านเอง 


วิธีการเลือกสมัครบัตรเครดิต

พิจารณาเงื่อนไขในการ
สมัครบัตรเครดิตของบัตรนั้นๆ เช่น เงินเดือนขึ้นต่ำ เงินเดือนต้องผ่านแบงค์ เป็นต้น
ใช้บัตรเครดิตอย่างฉลาด สินเชื่อหรือเครดิตนั้นมีหลายหลายรูปแบบในประเทศไทย นอกเหนือจากบัตรเครดิตที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้เงินสูงสุดแล้ว ก็ยังมีบัตรเครดิตอีกหลายประเภท อาทิ บัตรเพื่อการกู้ยืมสำหรับนักเรียน การกู้เพื่อวันพักผ่อน การกู้เพื่อซื้อบ้านหรือการจำนอง แม้ว่า
บัตรเครดิตเหล่านี้จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป แต่มีลักษณะพิเศษร่วมกันบางประการ เช่น ช่วยให้เราคงรูปแบบการใช้ชีวิตตามความปรารถนาได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินครั้งละมากๆ ดังนั้นการใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ผู้ใช้บัตรได้รับประโยชน์ ความปลอดภัย และความสะดวก



 
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค